สเปกใหญ่ ในราคาเบาๆ ที่ให้ฟังก์ชันมาครบ มากที่สุดเทียบเท่า Projector รุ่นใหญ่ แบรนด์ดัง ราคา 10,000-20,000 กันเลยทีเดียว อยากรู้ว่าเจ้า Mini Projector Dtech NB129 EZCast Beam J2 นั้นดียังไง ทำไมเราถึงมาแนะนำ ตามมาดูกัน
ซึ่งทั้งหมดนี้จึงอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ การใช้งานจากตัวเอง ที่ซื้อมาใช้งานจริง ทำให้เกิดรีวิวในวันนี้ขึ้นมา กับรีวิวเจ้า Mini Projector Dtech NB129 EZCast Beam J2 ที่ตอบโจทย์ ทุกการใช้งาน ทั้งการดูหนัง พรีเซนต์งาน การใช้งานนอกสถานที่อย่างแท้จริง
อย่างแรกที่พบเลย เมื่อแกะกล่องออกมาคือ ตัว Mini Projector Dtech NB129 EZCast Beam J2 ที่สีขาว พร้อมกล่องคู่มือการใช้งาน และนอกจากนั้นยังมีอุปกรณ์ อื่นๆ ให้มาอีก ได้แก่
[ ภาพรีวิว แกะกล่อง ]
[ ภาพรีวิว อุปกรณ์ภายในกล่อง ]
รูปลักษณ์ภายนอก วัสดุ
หากพูดถึงรูปลักษณ์ วัสดุ สัมผัสแรก คือ วัสดุดีมาก งานเนี๊ยบแข็งแรง ดูหรูหรา มีน้ำหนัก แตกต่างจาก mini Projector แบรนด์อื่น ๆ ที่มีราคาไม่ถึง 3,000.- ที่ผมเคยซื้อมาใช้ ซึ่งวัสดุมีน้ำหนักเบา งานประกอบไม่เนี๊ยบ ซึ่งบอกตามตรง ไม่กล้าเอามาอวดใครเลยตอนนั้น หลังจากที่ใช้มาได้ 4-5 เดือนก็พัง เลยมีประสบการณ์ในการ เลือก Mini Projector มากขึ้น จนได้มาเจอตัวนี้นี่แหละ ที่ตอบโจทย์ผมการใช้งานของผมมากที่สุดแล้ว ในราคาค่าตัวไม่เกิน 7,000.- ถือว่าไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับ สเปกนี้ ที่สามารถใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ Gadget ล้ำๆ ตั้งโชว์ได้ไม่อายใคร แถมจะชวนสาวๆมาดู Netflix ที่บ้านก็โรแมนติกดีใช่มั้ยละ
รีวิวฟังก์ชันการใช้งาน จุดเด่น โดยรวมๆ
ส่วนตัวที่ผมเลือก mini projector ตัวนี้ มีหลายเหตุผล เดี๋ยวผมจะไล่ให้ฟังก์กันว่า เจ้า Mini Projector Dtech NB129 EZCast Beam J2 นั้นมีอะไรโดดเด่น จนน่าเสียเงินซื้อบ้าง มาดูกัน
ไม่ว่าจะเป็น window , Mac , ios , Android ก็สามารถ Stream ภาพ ให้แสดงไปยัง mini Projector ได้ง่ายๆ ผ่านแอพพลิเคชั่น EZCast ที่ต้องบอกเลยว่าใช้งานง่ายมาก และตัวแอพของ EZCast เองก็เป็นแอพชื่อดังในการ Steam ภาพ อันดับต้นๆของโลกอยู่แล้ว ซึ่งมีความเสถียรมาก (จากที่ใช้งานมาก 2 เดือน เชื่อมต่อไม่มีหลุด ไม่มีแอพเด้งเลยแม้แต่ครั้งเดียว) จึงเป็นอีกข้อหนึ่งที่ผมตัดสินใจซื้อ เพราะคนทำแอพสตรีม มาทำ Mini Projector เอง คิดดูว่าจะดีกว่าแบรนด์อื่นๆขนาดไหน
อีกหนึ่งข้อดีที่ผมชอบ คือ ตัว NB129 นั้นรองรับการเชื่อมต่อ ผ่าน FlashDrive และสาย HDMI ซึ่งสะดวกมาก เวลาผมอยากโหลดหนังหรือ ซีรีย์ มาดูผ่าน mini Projector ก็แค่นำมาเสียบ และกดเล่นได้เลย (เพราะตัว NB129 นั้นมี Media Player ในตัว สามารถเล่นไฟล์เพลง VDO ได้ทันที ไม่ต้องเชื่อมคอมพิวเตอร์) ส่วนใครที่อยากเชื่อมต่อกับโน็ตบุ๊คก็แค่เสียบสาย HDMI เท่านั้น
จุดเด่นอีกจุดหนึ่งเลยคือ Mini Projector NB129 นั้นรองรับไฟล์ VDO แบบ 3D เหมาะมากสำหรับใครที่ชอบดูหนังสามมิติ ซึ่งส่วนตัวผมดูน้อย แต่มีไว้ก็ดีกว่าไม่มี ซึ่งในตลาด Mini Projector มีเพียง Dtech NB129 รุ่นเดียวที่สามารถทำได้ จากที่ผมหาข้อมูล ณ วันที่เขียน
อันนี้ผมชอบมาก เพราะสะดวกเวลานำไปฉายนอกบ้าน นั่งดูหนังชิวๆ ในสวนหน้าบ้าน หรือเอาไปฉายตอนออก แคมป์ปิ้ง ไม่ต้องพกสายไปให้ยุ่งยาก ซึ่งจากที่ใช้งานจริง ฉายหนังได้ประมาณ 2-3 ชม. ซึ่งเพียงพอแล้วกับ การดูหนัง 1 เรื่อง ซึ่งหากคุณกังวลว่าแบตจะหมด คุณก็สามารถเสียบสายชาร์จดูหนังต่อได้แบบไม่สะดุด
สะดวกที่สุด เพราะผมไม่จำเป็นต้องพกลำโพงออกไปด้วยเลย ซึ่งจากที่ใช้งานจริง เสียงจากลำโพงของ NB129 ถือว่าดีในระดับที่รับได้เลย ดูหนังรู้เรื่อง เสียงชัด และที่ผมชอบอีกอย่างคือ สามารถเสียบสาย JACK 3.5 ต่อลำโพงภายนอกได้อีกด้วย ถือว่าตอบโจทย์การดูหนังมากสำหรับคนที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น
สินค้ารับประกันศูนย์ไทย 1 ปีเต็ม ซึ่งที่ผมตัดสินใจซื้อเพราะประกันเป็นของศูนย์ไทย มีที่ตั้งอยู่ที่ประเทศไทย ผมเคยติดต่อไปสอบถามก่อนซื้อ เจ้าหน้าที่ Dtech ให้คำแนะนำดีมาก ทั้งการใช้งาน การเคลม ผมจึงมั่นใจ เพราะหากมีปัญหา ผมสามารถวิ่งเข้าไปเคลมสินค้า หรือส่งซ่อมได้ด้วยตัวเอง ซึ่งตัวเก่าของผมที่เป็นแบรนด์จีน ไม่มีประกัน ทำให้ผมเข็ดมากกับเรื่องนี้ จึงเลือกซื้อที่มีประกันด้วย
ให้คุณ Steam Media หรือ ส่งภาพจากจอมือถือคุณขึ้นไปยัง mini Projector ได้ง่ายๆ ทำให้คุณสามารถดู youtube ดูหนัง Line TV , NETFLIX , DISNEY+ ,MONO สตรีมเกมขึ้นจอก็ได้ สะดวกๆสุดๆ ซึ่ง NB129 เป็นแบรนด์เดียวที่รองรับ ฟังก์ชันนี้ เหมาะสำหรับคนที่มี Chromecast มากจริงๆ
สำหรับผมเจ้า Mini Projector Dtech NB129 EZCast Beam J2 นั้นตอบโจทย์การใช้งานกับผมมากที่สุด ด้วยฟังก์ชันการใช้งาน วัสดุ ราคา การพกพาออกไปใช้ทั้งนอกสถานที่ และในสถานที่ แถมมีแบตในตัว และต่อลำโพงแยกได้อีก ผมถือว่าตัวนี้ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุดเลยครับ สำหรับใครที่มองหา mini Projector ดีๆแนะนำตัวนี้ครับ จากประสบการณ์การใช้งานจริง
มินิโปรเจคเตอร์# มินิโปรเจคเตอร์มือถือ# มินิโปรเจคเตอร์ xiaomi# มินิโปรเจคเตอร์ wifi# มินิโปรเจคเตอร์วันเกิด# มินิโปรเจคเตอร์พกพา# มินิโปรเจคเตอร์# มินิโปรเจคเตอร์มือสอง# มินิโปรเจคเตอร์ h4# มินิโปรเจคเตอร์ 2021
]]>Power Supply Unit หรือ PSU นั้นเป็นหัวใจ ของคอมพิวเตอร์ เพราะมีหน้าที่ต้องจ่ายไฟเลี้ยงไปยังอุปกรณ์ ต่างๆภายในเครื่องคอมทั้งหมด ซึ่งหลายคนมักไม่ค่อยให้ความใส่ใจ หรือให้ความสำคัญในการเลือก power supply ทำให้บ่อยครั้งเมื่อมีการอัพเกรดสเปกคอมพิวเตอร์แล้ว มักต้องซื้อ power supply ใหม่ด้วยเสมอ นั้นเป็นเพราะอะไร.. ? มาดูกัน
เพราะ “อุปกรณ์ใหม่ของเราที่เพิ่มเข้ามา กินไฟมากกว่าเดิม”
เกินกว่าที่ Power Supply จะรองรับได้ ทำให้เกิดอาการ Overload จนคอมพิวเตอร์เกิดดับไป หรืออาการร้ายแรงสุดเลยคือ บอร์ดใหม่ หรือ Power supply พัง
ฉะนั้นการเลือกซื้อ Power supply จึงมีความสำคัญมาก !!
ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำวิธีเลือกซื้อกัน แบบง่ายๆ ใน 3 ขั้นตอน
Step 1: เลือก PSU ที่มีขนาด WATT รองรับเพื่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของเรา
คำถามคือ แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าควรซื้อ PSU กำลังไฟเท่าไหร่ดี ? ผมมีสูตรง่ายๆมาให้คิดครับให้เอา TDP ของ CPU + GPU มา x2 และบวกอีก 80หรือ120 ครับ เป็นวิธีง่ายๆที่ใช้ได้จริง แต่ผมบอกก่อนนะว่า TDP ไม่ได้เป็นตัวบอกการกินไฟนะ มันคือการคายความร้อนครับ แต่สามารถเอามาใช้ ในการตัดสินใจคร่าวๆได้ครับ ที่ให้เพิ่มอีกนิดหน่อยก็สำหรับส่วนอื่นๆในคอมพิวเตอร์ มันกินไฟน้อย ดังนั้นเผื่อประมาณนี้ไว้ก็พอ ส่วนถ้าใครพัดลมเยอะ ชุดน้ำใหญ่ ไฟจัดเต็ม ก็บวกสัก 120 หรือเพิ่มอีกสักหน่อย และที่ให้ x2 เพื่อกะให้ PSU มี Load อยู่ที่ราวๆ 50-60% นั่นเอง เพราะถ้าใช้ใกล้ขีดจำกัดตลอดอาจส่งผลต่ออายุการใช้งานของ PSU ได้ครับผม ซึ่งตามหลักแล้ว แนะนำให้ซื้อ ตัวที่มี watt เผื่อไว้เยอะหน่อยก็ดีครับ เพราะถ้าคอมรวมกินแค่ 300w ซื้อตัวกำลัง 1000w ก็ใช้ไฟแค่เท่าเดิมครับ ไม่ได้เพิ่มตาม ดังนั้นเผื่อเหลือๆได้ แต่ขาดไม่ได้ครับผม
.
Step 2: เลือกหาซื้อตัวที่ได้รับมาตรฐานการจ่าย ไฟ 80PLUS หรือ 80+
หากต้องการตัวเดียวจบ ใช้กันแบบยาวๆ แนะนำ ให้เลือก PSU ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการจ่ายไฟ 80+ ซึ่งเป็นการรับรองว่า PSU ตัวนี้นั้น จ่ายไฟได้กี่ % ได้มาตรฐานสากล หรือตามที่ระบุหรือไม่ ซึ่งจะแบ่งออกเป็นหลายระดับ เช่น White / Bronze / Silver / Gold / Platinum /Titanium เป็นต้น ยิ่งสูงก็ยิ่งดีครับ ซึ่งสำหรับคอมพิวเตอร์ ใช้งานทั่วไป หรือใช้สำหรับเกมเมอร์ แนะนำเลือก Bronze / Silver / Gold ก็เพียงพอแล้วครับ ถ้างบเราน้อย ไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้ เพราะมันต่างกันแค่ไม่กี่ % เท่านั้นครับ ถ้าเอาแบบง่ายๆเลยผมมีจัด Tier คุณภาพไว้ให้แล้วในช่อง สามารถดูและเลือกซื้อได้ทันทีครับ
.
Step 3: ถอดสายไฟ แยกได้ หรือไม่ (Modular Support)
อันนี้ง่ายๆครับ Modular คือ ออฟชั่นเสริม PSU ในระดับ Hi-end ที่รองรับการถอดสายไฟได้ ถ้าหากไม่มีก็จะเป็นแบบมีสายติดมากับตัว PSU ซึ่งทำให้จัดสายไฟ ให้สวยงามยาก เพราะไม่สามารถเลือกนำสายที่ไม่ใช้ถอดเก็บได้ ซึ่งในบางรุ่นจะมีเป็น Semi-Modular คือใส่ไว้ให้บางส่วนแค่ส่วนหลักๆครับ ความต่างของพวกนี้จะเกี่ยวกับเรื่องพื้นที่เคส และความสวยงามเป็นระเบียบมากกว่า และส่วนใหญ่ที่ดีๆก็มักจะเป็นแบบ Modular ทั้งหมด ดังนั้นไม่ต้องซีเรียสก็ได้ครับ
.
ครบ 3 step นี้ก็คือทั้งหมดที่จำเป็นในการเลือก PSU แล้วครับผม สามารถไปเลือกซื้อกันเองได้แล้วเน๊อะ ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ?
และบทความนี้ ก็สนับสนุนโดย Dtech.Official นะครับ ค่ายนี้ก็มีรุ่นดีๆที่ผ่านเกณฑ์ผมและอยากจะแนะนำอยู่ 2 รุ่น นั่นก็คือ
DTECH PW071A 750w 80+ Bronze: https://bit.ly/39U6drZ
DTECH PW072A 850w 80+ Gold: https://bit.ly/3abl2qc
โดยตัว Bronze นี่จะเป็นรุ่นทั่วๆไปครับ เหมาะกับการใช้งานทุกประเภทไม่ว่าจะเล่นเกมหรือทำงานหนักๆก็ตาม ส่วนรุ่นที่เป็น 80+ Gold นี่จะอัพเกรดทั้งในด้านประสิทธิภาพการจ่ายไฟและวัสดุให้เป็นระดับพรีเมี่ยมทั้งหมดครับ
]]>
สั่งซื้อได้ที่
FB : https://m.me/official.dtech
LINE@ : @dtechshop โทร 02-318-8899
Website : http://bit.ly/PW071A_Website
Shopee : http://bit.ly/PW071A_Shopee
Lazada : http://bit.ly/PW071A_Lazada
Gold 80 Plus
http://bit.ly/PW071A_Website
https://bit.ly/Pw072A_shopee
https://bit.ly/PW072A_Lazada